บทที่ 15 พี่ชายเจ้ามิใช่หรือ
ม้าทั้งสองตัว เมื่อเห็นซูเต๋ออุ้มซูเจินเดินเข้ามาทั้งสองก็ลุกขึ้นเดินมาหานางอย่างช้าๆ ทั้งยังยอมให้นางจับตัวอย่างว่าง่ายอีก
“คิก คิก” ซูเจินหัวเราะอย่างชอบใจ เมื่อม้าตัวเมียดันจมูกของมันกับแก้มของนาง
นายหน้าค้าสัตว์อ้าปากค้างมองภาพตรงหน้าอย่างตกใจ แต่นี่ยังไม่ใช่เรื่องประหลาดที่เขาพบเจอ เสียงสัตว์ที่อยู่ในความดูแลทั้งหมดของเขาส่งเสียงร้องออกมาด้วยความอิจฉา เมื่อเห็นม้าทั้งสองตัวได้คลอเคลียกับนายหญิงแห่งมิติพฤกษา
ซูเจินนางไม่รู้เลยว่าการที่นางซื้อม้าทั้งสองตัวและวัวอีกสองตัวกลับมาด้วยในครั้งนี้ จะทำให้มิติของนางเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น
ทูตน้อยที่อยู่ด้านในส่งเสียงร้องอย่างยินดี ที่ตอนนี้มิใช่มิติที่โล่งมีแต่ทุ่งหญ้าและดอกไม้ของนางเพียงดอกเดียวแล้ว แต่มีต้นไม้ดอกไม้งอกขึ้นมาอีกไม่น้อย
สุดท้ายซูเต๋อต้องจ่ายเงินไปมากถึงหกสิบตำลึงทอง สำหรับวัวสองตัวพร้อมเทียมเกวียน ม้าสองตัวพร้อมกับรถม้าคันใหญ่ที่ซูเจินปล้นมาได้จากนายหน้าค้าสัตว์โดยที่ไม่ต้องเพิ่มเงินเลย
นายหน้าค้าสัตว์ต้องให้ลูกน้องของเขาตามไปส่งเกวียนวัวที่หมู่บ้านในตอนหลัง เพราะม้าสองตัวยังไม่ยอมให้ผู้ใดเข้าใกล้นอกจากครอบครัวของซูเจิน
สองแม่ลูกจึงได้นั่งรถม้ากลับหมู่บ้านอย่างสุขสบายโดยมีซูเต๋อบังคับรถม้าด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม ก่อนจะกลับพวกเขาแวะซื้อซาลาเปาไว้กินระหว่างทาง ซูเต๋อยังได้เมล็ดพันธุ์ผักกลับมาด้วยอีกไม่น้อย เพราะซูเจินนางรู้จากทูตน้อยของนางว่าสามารถนำไปปลูกภายในมิติได้ นางจึงให้บิดาซื้อเยอะๆ
“อีก อีก” นางร้องบอกบิดา เพราะจำนวนที่ได้มายังไม่มากเท่าที่นางต้องการ
ซูเต๋อก็ล้วนแต่ตามใจบุตรสาว เพราะราคาเมล็ดผักก็ไม่ได้แพงมากมายนัก
“ม้าของท่านจะบรรทุกไหวหรือไม่” เจ้าของร้านเอ่ยถามอย่างกังวล แม้จะเห็นว่ารถม้ามีขนาดใหญ่ก็จริง แต่ม้าสองตัวก็ดูอ่อนแรงไม่น้อย
“ไม่เป็นอันใด ขนขึ้นไปเถิด” เมื่อเห็นสีหน้าที่เรียบเฉยของซูเต๋อเขาก็ให้คนงานขนกระสอบทั้งหมดนับสามสิบกระสอบขึ้นไปเรียงไว้บนรถม้า
ในตอนแรกเขามองตามไปอย่างเป็นห่วง แต่พอรถม้าเคลื่อนตัวออกไปจากร้านไม่นาน ม้าก็ดูเหมือนเดินอย่างสบายราวกับไม่ได้ขนสิ่งใดในรถม้า นอกจากคนทั้งสามที่นั่งอยู่
“ข้าคงจะกังวลไปเอง” เขาเกาหัวอย่างไม่เข้าใจ ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในร้านเช่นเดิม
รถม้าของซูเต๋อกำลังวิ่งออกจากประตูเมือง เสียงเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ไม่ห่างก็เอ่ยถามเด็กหนุ่มอีกคนที่อยู่ข้างกายเขาทันที
“อาฟง ผู้นั้นพี่ชายเจ้าไม่ใช่หรือ แล้วนั่นรถม้าของผู้ใด เรือนเจ้าซื้อรถม้าแล้วหรือ ไม่เห็นขับมาให้พวกข้าดู” ชุยฟงเขามองตามรถม้าของพี่ชายต่างมารดาไปด้วยสายตาที่ครุ่นคิด
เขาไม่ได้กลับหมู่บ้านมานาน เพราะเรื่องที่แมลง สัตว์เลื้อยคลาน ไม่รู้ว่ามาจากที่ใดมากมายจนเขานึกรังเกียจที่จะกลับไปนอนที่เรือน
เรื่องที่มารดาเขาไล่พี่สะใภ้ออกไปจากเรือน เขาย่อมรับรู้ ทั้งยังช่วยออกความคิดให้ท่านน้าของตนมารังแกสองแม่ลูกอีกด้วย
ในเมื่อพี่ชายเขากลับมาแล้ว ย่อมต้องรู้เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดไม่มากก็น้อย แต่ไม่รู้ว่าเขากลับมาจากกองทัพจะมีเงินมามากพอถึงขั้นซื้อรถม้าไว้ใช้เลยรึ
“ใช่พี่ชายต่างมารดาของข้า จะมีปัญญาที่ใดไปซื้อ คงเช่าขับกลับหมู่บ้าน เพื่อเย้ยมารดาข้ากระมัง” เขายกยิ้มที่มุมปากราวกับกำลังยิ้มเยาะพี่ชายของตนเอง
“แต่ที่รถม้า ไม่มีตราของร้านเช่า ไม่ใช่ว่าเป็นของเขาหรอกรึ” สหายของชุยฟงจึงเอ่ยถามอย่างสงสัย
“หึ ไว้ข้าจะกลับไปตรวจสอบเรื่องนี้ก่อน หากเป็นของเขาจริง ข้าจะให้มารดาข้ายึดมาเสีย” ทั้งสองยิ้มให้กันอย่างเจ้าเล่ห์
ไม่ว่าเรื่องอันใด หากชุยฟงต้องการ เขาเชื่อว่ามารดาของเขาจะหาทุกหนทางเพื่อช่วยเหลือเขา ยิ่งไปบังคับเอาสิ่งของมาจากพี่ชาย ยิ่งเป็นเรื่องง่ายดายนัก
ครอบครัวตระกูลซูทั้งสามคนไม่รู้เรื่องที่ชุยฟงพบเห็นพวกตนเข้าแล้ว ซูเต๋อยังบังคับรถม้าไปจนถึงหมู่บ้าน ซูเจินนางบอกให้หลันฮวาจัดการนำเมล็ดผักที่นางซื้อมาปลูกภายในมิติ โดยให้เหลือไว้อย่างละกระสอบ ท่านพ่อของนางจะนำไปปลูกที่ข้างเรือน
เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องยากของหลันฮวา เพียงแค่นางโบกมือไม่กี่ครั้งที่ดินที่เคยโล่งเตียนตรงหน้า ก็ปรากฏแปลงผักนับร้อย พร้อมให้นำเมล็ดผักลงไปปลูกแล้ว
เมื่อเมล็ดผักถูกนำไปปลูกจนครบทุกแปลง เหล่าแมลงหน่อยใหญ่ก็ถือกำเนิดขึ้นในมิติของนาง หลันฮวาบินไปรอบๆ อย่างชอบใจ นางจะได้มีสหายไว้ค่อยพูดคุยเสียที
ขากลับเมื่อมีรถม้าจึงใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วยามเท่านั้น ชาวบ้านที่พบเห็นรถม้าได้แต่ชะเง้อคอมองอย่างสนใจ ยิ่งเข้ามาใกล้แล้วพบว่าเป็นซูเต๋อบังคับก็ตะโกนถามกันจนฟังไม่รู้เรื่อง
“อาเต๋อ เจ้าซื้อรถม้าอย่างนั้นรึ”
“ขอรับ”
“สวรรค์ เจ้ามีเงินมากเพียงใด ถึงได้ซื้อรถม้าเช่นนี้” ชาวบ้านหลายคนมองมาที่ซูเต๋ออย่างสงสัย
เพราะบุรุษจำนวนไม่น้อยที่เดินทางไปชายแดนพร้อมกับเขา ได้เงินกลับมาเพียงห้าตำลึงเงินเท่านั้น
“ข้าได้รางวัลมาจากท่านแม่ทัพ จึงพอจะเหลือเงินซื้อรถม้าขอรับ” เรื่องนี้เขาไม่คิดจะปิดบัง เพราะคนที่ไปร่วมรบกับเขาทุกคนต่างรู้เรื่องนี้ดี เพียงแต่ไม่รู้ว่าเขาได้รับสิ่งใดเป็นการตอบแทน
“เช่นนั้นรึ ดีแล้ว ดีแล้ว” ชาวบ้านต่างเปิดทางให้ซูเต๋อบังคับรถม้ากลับเรือน สายตาที่มองตามไปได้แต่อิจฉาในวาสนาของเขา
เมื่อถึงเรือน จิ่วเม่ยก็พาซูเจินนางเข้าไปไว้ในห้องโถง ส่วนตัวนางออกมาช่วยซูเต๋อยกของเข้าไปเก็บ เพราะกำแพงที่สูงพ้นสายตา ทำให้ชาวบ้านที่อยากรู้ว่าทั้งสามซื้อสิ่งใดกลับมาบ้างก็ได้แต่ชะเง้อคอแต่ไม่ได้สิ่งใดกลับไป
ลุงหวงกับป้าหวงเมื่อรู้เรื่องก็มาพบทั้งสามที่เรือน ด้วยอยากรู้ว่าสิ่งที่ชาวบ้านพูดเป็นจริงหรือไม่
“เพ้ย ชาวบ้านเอาแต่พูดเรื่องของพวกเจ้า บอกว่าขนของมาเสียม้าแทบเดินไม่ไหว ข้าก็หวงกลัวพวกเจ้าจะใช้จ่ายสิ้นเปลือง” ป้าหวงเอ่ยตำหนิอย่างเป็นห่วง
